เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา เว็บไซต์อย่างเป็นทางการขององค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนที่มีความเป็นไปได้ในการรักษาโควิด-19 ผ่านเอกสารที่มีชื่อว่า “Draft Landscape of COVID-19Candidate Vaccines” ซึ่งแสดงรายละเอียดในการทดลองวัคซีน 8 ชนิดที่เข้าสู่กระบวนการทดลองในมนุษย์(Clinical Stage) ในระยะที่ 1 (การทดลองเพื่อศึกษาและประเมินผลวัคซีนในคนที่มีสุขภาพดี) และระยะที่ 2 (การทดลองแบบสุ่ม) และมีเพียงวัคซีนของบริษัท อินโนวิโอ ฟาร์มาซูติคอล (Inovio Pharmaceuticals) จากสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ที่ยังคงอยู่ในการทดลองระยะที่ 1ส่วนวัคซีนอีก 7 ชนิด ยังคงต้องรอการทดสอบในระยะที่ 3 และ 4 ต่อไป รวมถึงการผลิตที่โดยทั่วไปต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการก้าวผ่านแต่ละขั้น
นอกจากวัคซีนทั้ง 8 ชนิด ที่เข้าสู่กระบวนการทดลองในมนุษย์แล้ว ยังมีวัคซีนทดลองอีก 100 ชนิด ที่ได้รับการวิจัยและพัฒนาขึ้นมาจนอยู่ในขั้นตอนก่อนการทดลองในมนุษย์ (Preclinical Stage) และหนึ่งในนั้นเป็นวัคซีนที่มีการวิจัยและพัฒนาในประเทศไทย โดยความร่วมมือกันระหว่างคณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบริษัทไบโอเนท-เอเชีย (BioNet-Asia) ที่พัฒนาวัคซีนโดยใช้พื้นฐานดีเอ็นเอของไวรัสที่สามารถนำไปทดลองในหนูได้แล้ว
จากรายงานดังกล่าวนี้ ย่อมยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า ภายในปีนี้ (2563) และอาจจะลากยาวไปจนถึงปลายปีหน้า (2564) เรายังต้องอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ต่อไปพร้อมกับมาตรการการเว้นระยะห่างทางกายภาพ (Physical Distancing)ที่ยังต้องบังคับใช้กันอย่างเข้มข้น และนั่นย่อมไม่ใช่เรื่องดีของระบบเศรษฐกิจทั่วโลกเป็นแน่
ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้เปิดเผยรายงานล่าสุดว่า เศรษฐกิจโลกอาจสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจระหว่าง 5.8-8.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่าระหว่าง 6.4-9.7% ของ GDP โลก เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่วนในรายงาน Updated Assessment of the Potential Economic Impact of COVID-19พบว่า เอเชียและแปซิฟิกจะสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจเริ่มจาก 1.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ภายใต้สถานการณ์ระยะสั้น3 เดือน) ถึง 2.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ภายใต้สถานการณ์ระยะปานกลาง6 เดือน) ซึ่งคิดเป็น 30% ของการลดลงโดยรวมของผลผลิตโลก (GDP) ในขณะที่จีนอาจสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจระหว่าง1.1-1.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ADB ยังรายงานอีกว่า การปิดพรมแดน การมีข้อกำหนดในการเดินทางและการปิดเมืองที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจนั้น ทำให้การค้าโลกมีมูลค่าลดลงถึง 1.7-2.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐการจ้างงานโลกลดลงราว 158-242 ล้านตำแหน่ง โดย 70% ของงานที่ลดลงจะอยู่ในเอเชียและแปซิฟิก รายได้ของแรงงานทั้งโลกจะลดลงราว 1.2-1.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่ง 30% ของรายได้ที่หายไป (ราว 359–550 พันล้านเหรียญสหรัฐ) จะอยู่ในเอเชีย
ที่น่าสนใจจากรายงานชิ้นนี้ก็คือ ADB วิเคราะห์ว่า ถ้ารัฐบาลทั่วโลกรับมือกับผลกระทบการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้อย่างรวดเร็ว ผ่านการดำเนินมาตรการทางการคลัง และการผ่อนคลายมาตรการทางการเงิน การเพิ่มงบประมาณสำหรับสาธารณสุข และมาตรการเสริมรายได้ที่หายไป จะช่วยให้ผลกระทบทางเศรษฐกิจเบาบางลงราว 30-40% และสามารถลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจของโลกได้ราว 4.1-5.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
นักวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจหลายสำนักมองไปในทิศทางเดียวกันกับ ADB และรัฐบาลในหลายประเทศก็เห็นด้วยกับทฤษฎีที่ว่า ยิ่งตั้งหลักได้เร็วเมื่อไหร่ โอกาสรอดก็มีมากเท่านั้น ดังนั้น เราจะเห็นการเริ่มเปิดเมือง คลายล็อกดาวน์ หลังจากอัดฉีดมาตรการทางการเงินไปสักระยะ รวมไปถึงสถานการณ์การติดเชื้อในประเทศเหล่านั้นอยู่ในอัตราที่พวกเขามั่นใจว่าการสาธารณสุขในประเทศจะรับมือได้ เพราะระบบเศรษฐกิจโลกไม่สามารถหยุดนิ่งได้นาน การปรับตัวกับความปกติแบบใหม่ (New Normal) แล้วรีบเดินเครื่องเศรษฐกิจในทันที โดยไม่รอวัคซีน จึงเป็นหนทางที่จะบรรเทาความเสียหายต่อประเทศต่างๆ ได้ดีที่สุดและด้วยความจำเป็นดังกล่าวนี้เอง ที่ทำให้เกิด Travel Bubble หรือพันธมิตรเพื่อการท่องเที่ยวในยุคโควิด-19 ขึ้นมา เพื่อตอบรับกับมาตรการด้านสาธารณสุข และการกระตุ้นเศรษฐกิจ ฟื้นฟูรายได้ให้ประเทศ ซึ่งเป็นแนวทางที่มีความสมดุลกับทั้งสององค์ประกอบ และส่วนตัวคิดว่านี่น่าจะเป็นรูปแบบใหม่ของการท่องเที่ยวที่ทั่วโลกน่าจะนำไปปรับใช้จนกว่าเจ้าไวรัสตัวนี้จะหายไป
แนวทาง “พันธมิตรเพื่อการท่องเที่ยว” เริ่มมีการพูดคุยกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวจากการที่ “สกอตต์ มอร์ริสัน” นายกรัฐมนตรี ของออสเตรเลีย ที่ออกมาบอกว่า “ถ้าจะมีประเทศใดในโลกที่เราจะร่วมมือด้วยในเรื่องของการท่องเที่ยว เราเลือกนิวซีแลนด์แน่นอน” และแน่นอน “จาซินดาอาร์เดิร์น” นายกรัฐมนตรี ของนิวซีแลนด์ก็ได้กล่าวคล้ายๆ กันว่า “ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวกับออสเตรเลีย เป็นสิ่งที่นิวซีแลนด์ต้องการอยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญอันดับแรก คือการทำให้แน่ใจว่า ทั้งออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ สามารถจัดการกับการระบาดของโควิด-19ได้แล้วเสียก่อน เราจึงมั่นใจพอที่จะเปิดประเทศ” โดยตามรายงานข่าวแจ้งว่าแม้ตอนนี้ จะยังไม่มีความชัดเจนว่าโครงการ “พันธมิตรเพื่อการท่องเที่ยว”ของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์จะเป็นรูปธรรมเมื่อไหร่ เพราะมาตรการการคุมเข้มนักท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศยังไม่ผ่อนคลาย แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ต่างมีความมั่นใจว่า ทั้งสองประเทศนี้จะเปิดพรมแดนระหว่างกันในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูงมาก เพราะในช่วงเดือนสิงหาคม เป็นฤดูกาลเล่นสกีในนิวซีแลนด์ และช่วงเดือนต่อไปคือ กันยายน ก็เป็นช่วงที่โรงเรียนในสองประเทศนี้ปิดเทอมพอดิบพอดี
สำหรับแนวคิดการเปิดพื้นที่ท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่มีการบริหารจัดการด้านสาธารณสุขอันเป็นที่น่าพึงพอใจต่อกันนั้น นอกเหนือจากสองประเทศที่กล่าวถึงแล้ว ก็ยังมีการพูดคุยตกลงกันอยู่ในหลายประเทศโดยเฉพาะประเทศจีนกับประเทศเกาหลีใต้ที่ให้น้ำหนักไปที่เรื่องของการประกอบการธุรกิจเป็นสำคัญ และเดินหน้าเปิดการเดินทางต่อกันไปแล้วเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ด้วยเงื่อนไขใน 10ภูมิภาคของจีน และต้องมีผลตรวจเชื้อโควิด-19 เป็นลบทั้งก่อนและหลังเดินทางและอาจจะขยับขยายไปในสัดส่วนของการท่องเที่ยวตามมา นอกจากนั้นประเทศเกาหลีใต้ยังได้พูดคุยกับ เวียดนาม ฮังการี โปแลนด์ คูเวต และเยอรมนี เพื่อทำข้อตกลงในแบบเดียวกันนี้รวมไปถึงเอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนียที่ทำข้อตกลงเรื่อง Travel Bubbleไปเรียบร้อยแล้วเมื่อกลางเดือนนี้ และในไม่ช้าข้อตกลงระหว่างสิงคโปร์และแคนาดาก็น่าจะเกิดขึ้น
“พันธมิตรเพื่อการท่องเที่ยว” หรือ Travel Bubble น่าจะแสดงให้เห็นแล้วว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีศักยภาพในการปรับตัวสูง และมีทักษะในการเอาตัวรอดที่ดี ดังนั้น เชื่อเหลือเกินว่า ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในครั้งนี้ แม้จะรุนแรงและสร้างความเสียหายต่อโลกอันประเมินค่ามิได้ แต่ไม่นานความเสียหายเหล่านั้นจะได้รับการเยียวยาและฟื้นฟูให้กลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง ขอแค่พวกเราอย่าหมดหวังไปก่อนก็พอ
"การสูญเสีย" - Google News
June 07, 2020 at 02:00AM
https://ift.tt/3cGAOrw
คอลัมน์ผู้หญิง - Travel Bubble พันธมิตรเพื่อการท่องเที่ยวในยุคโควิด-19 - หนังสือพิมพ์แนวหน้า
"การสูญเสีย" - Google News
https://ift.tt/2TYnNTT
No comments:
Post a Comment